บทความนี้ผมจะพูดถึงวิธีเที่ยวไอซ์แลนด์อย่างไรให้ปลอดภัย โดยผมจะขอแบ่งหัวข้อแบบนี้นะครับ
- แนะนำการใช้ Safetravel.is
- Application ที่แนะนำเอาไว้ติดมือถือ
- เรื่องของสุขภาพ
- ตำรวจและความปลอดภัย
- เบอร์โทรศัพท์สำคัญ
ดังนั้นใครที่กำลังจะไปไอซ์แลนด์คนเดียว จะไปขับรถคนเดียว หรือจะขับรถหลายคนก็ตาม เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่ควรรู้ไว้แบบสุดๆ เพราะสำคัญมากๆครับ
เริ่มที่หัวข้อแรกเลยนะครับ เที่ยวอย่างไรให้ปลอดภัย 100%
ผมแนะนำให้ทุกๆคนเข้าไปที่เว็บนี้นะครับ http://safetravel.is โดยที่เว็บนี้จะให้ข้อมูลทุกอย่างที่เกี่ยวกับความปลอดภัยในระหว่างการเดินทาง
โดยหลังจากเราเปิดเว็บเข้าไปแล้ว เราจะเห็นหน้าจอเป็นแบบนี้นะครับ โดยผมจะเน้นที่ความสำคัญในหมายเลข 1,2 และ 3 ที่เป็นตาราง ไว้
ดูไปตามกันเลยนะครับ
1.) Alerts
ฟังก์ชั่นนี้จะเป็นการอัพเดทสถานการณ์ความไม่ปกติทุกๆอย่างที่เกิดขึ้นในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นพายุ ดินถล่ม พายุหิมะ ถนนปิด หรือจะอะไรก็ตาม ให้เราไปเช็คอยู่เสมอ โดยที่เราสามารถ follow Twitter ของทางการเพื่อรับข่าวสารได้เช่นเดียวกัน
2.) Travel Plan
ฟังก์ชั่นนี้ถือว่าทางการไอซ์แลนด์สุดยอดมาก เพราะเขากลัวนักท่องเที่ยวที่ชอบผจญภัยจะหลงทางจนหาทางออกไม่ได้ หรือไม่ก็คนที่ขับรถคนเดียวไม่มีเพื่อนไป อย่างน้อยก็มีเพื่อนเป็นทีมกู้ภัยที่คอยเฝ้าจับตาดูเราอยู่ครับ เราควรที่จะส่งแผนการเดินทางไปล่วงหน้า เพื่อความปลอดภัยของตัวเราเองครับ
ในขั้นตอนนี้ เขาจะให้เราเลือกว่าเรามีอุปกรณ์ค้นหาเหล่านี้ติดตัวไว้เหรอไม่ครับ
- GPS
- Avalanche Transceiver
- Emergency Flare
- Compass & Map
ก็ให้เราเลือกสิ่งที่เรามีไปนะครับ
ส่วนในขั้นตอนนี้ จะเป็นการเลือกอุปกรณ์ที่เรามีไว้สำหรับการสื่อสารในกรณีฉุกเฉิน (เราอยู่ในที่อับสัญญาณ)
โดย Emergency Beacon (PLB) เราสามารถเช่าได้นะครับ รายละเอียดจะอยู่ด้านล่าง
ในขั้นตอนนี้จะเป็นการใส่แผนการเดินทางในแต่ละวันของเราเข้าไป
ในส่วนนี้จะมีฟังก์ชั่นที่เรียกว่า “Trip Monitoring” ซึ่งเราจะเลือกหรือไม่เลือกก็ได้
ในกรณีที่เราเลือกใช้ฟังกชั่นนี้ เราจะต้องคอย check in ตามจุดหมายปลายทางที่เราเลือกไว้ในแผนที่เรายื่นไปครับ
ในกรณีที่เราเกิดไม่ได้ check in ภายในเวลาดังกล่าว ทีมกู้ภัยก็จะเริ่มต้นติดต่อและค้นหาเราครับ
***ฟังก์ชั่นนี้ถ้าตั้งไปแล้ว ก็สามารถที่จะยกเลิกระหว่างได้เช่นกันนะครับ***
ในหน้านี้ เราสามารถที่จะแนบแผนเดินทางแบบละเอียดได้ (ซึ่งอาจจะมีตำแหน่ง GPS หรืออะไรก็ตามแต่)
ถ้ามาถึงหน้านี้ได้ แปลว่ากรอกครบถ้วนสมบูรณ์ ให้กลับไปรอเช็คที่ inbox ของ email ได้เลยครับ
3.) Rent a PLB (Emergency Beacon)
เจ้า Personal Location Beacon (PLB) เป็นเครื่องส่งคลื่นวิทยุขนาดเล็ก ที่สามารถทำงานได้ในที่ๆไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ มีเอาไว้ใช้สำหรับส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือในกรณีฉุกเฉินครับ
โดยเราสามารถที่จะเช่ายืมเจ้า PLB นี้ได้
ราคาค่าเช่า = 1200 ISK ต่อวัน
Tourist Information Reykjavík – Aðalstræti 2
Open everyday 08.00-16.00
Information Center Ísafjörður – Aðalstræti 7
Open weekdays 08.00-18.00 and weekends from 08.00-16.00
Application สำคัญ
Application ที่ถูกพัฒนาจากกรมทางหลวงของไอซ์แลนด์ จุดประสงค์ของโปรแกรมนี้มีเพื่อในเหตุฉุกเฉินโดยเฉพาะ ในกรณีที่เรากำลังจะไปพื้นที่ห่างไกล โดยโปรแกรมจะมีคุณสมบัติพิเศษใหญ่ๆ 2 อย่าง คือ
- Check in เพื่อส่งตำแหน่งในกรมทางหลวงทราบถึงตำแหน่งของเราได้ โดยเขาแนะนำให้กดเป็นระยะๆ ซึ่งข้อมูลนี้จะถูกนำส่งเข้าฐานข้อมูลในคอมพิวเตอร์ โดยคอมพิวเตอร์จะจดจำเฉพาะ 5 สถานที่ล่าสุดที่ได้รับการ check in ไว้ โดยถ้าเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นมา ทางการก็ยังพอมีข้อมูลในการตามหาได้ครับ
- Emergency ถ้าเราอยู่ในพื้นที่ห่างไกลและต้องการความช่วยเหลือเราก็สามารถที่จะส่ง Emergency call เพื่อขอความช่วยเหลือฉุกเฉินได้ บางคนอาจจะสงสัยว่าถ้าพื้นที่นั่นไม่มีคลื่นสัญญาณโทรศัพท์จะสามารถใช้ได้หรือไม่ เขาก็บอกว่าให้กดไปก่อนเพราะบางทีสามารถใช้ได้ครับ
Download : Android / IOS / Windows
บทสรุป จะเห็นได้ว่าถ้าเราใช้บริการสิ่งที่มีอยู่อย่างครบถ้วน ความปลอดภัยในระหว่างการเดินทางในไอซ์แลนด์จะถือว่าสูงขึ้นมากทีเดียว และจะสำคัญอย่างยิ่งกับคนที่เดินทางคนเดียวด้วยครับ
สุขภาพ (Health)
“สุขภาพ” ประเทศไอซ์แลนด์ถือเป็น 1 ในประเทศที่มีระบบสาธารณสุขที่ดีที่สุดของโลก และมาตรฐานการรักษาพยาบาลถือว่ายอดเยี่ยม อายุขัยเฉลี่ยของคนไอซ์แลนด์นี่มากที่สุดในยุโรปเลยรู้ไหมครับ โรงพยาบาลใหญ่ๆที่มีหมอเฉพาะทางอยู่ในไอซ์แลนด์ มีตั้งอยู่ที่ 2 เมืองหลักคือ Reykjavik และ Akureyri นอกเหนือจาก 2 เมืองนี้ จะเป็นเพียงคลีนิคชุมชน หรือร้านขายยาประจำเมืองหรือหมู่บ้านเท่านั้นครับ แต่ในทุกๆคลีนิกก็จะมีหมอประจำอย่างน้อย 1 คนเสมอ เพราะฉะนั้น แต่สถานที่เหล่านี้จะเปิดทำการในเวลาราชการเท่านั้นครับ เพราะฉะนั้นการเตรียมตัว เตรียมยาเบื้องต้นไปก่อนจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก
ส่วนในกรณีที่เจ็บป่วยฉุกเฉินจริงๆ ถึงแม้โรงพยาบาลจะไม่ได้มีอยู่ทุกที่ แต่ไอซ์แลนด์มีระบบการส่งต่อผู้ป่วยที่ดีมาก ในเมืองหลวง Reykjavik จะมีบริการ 24/7 เนื่องจากมีโรงพยาบาลใหญ่อยู่ ส่วนในเมืองหรือหมู่บ้านเล็กๆรถพยาบาลฉุกเฉินมักจะอยู่รวมกับสถานีดับเพลิงซึ่งกระจัดกระจายอยู่ทั่วประเทศเช่นกัน และบุรุษพยาบาลเหล่านี้ไม่ได้ทำงานประจำเป็นพยาบาล แต่จะเป็นแบบ on call ครับ คือสามารถตามได้ถ้าเกิดเหตุ
ผมแนะนำให้ทำประกันการเดินทางไปในทุกๆกรณีนะครับ เนื่องจากค่ารักษาพยาบาลในประเทศเหล่านี้แพงมาก
ในกรณีที่มีเหตุฉุกเฉิน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดๆก็ตาม โทร 112 นะครับ เบอร์เดียวทั่วประเทศ
โรงพยาบาลที่สำคัญ
| Name (English) | Name (Icelandic) | Type | Healthcare district | ||
|---|---|---|---|---|---|
| National University Hospital of Iceland | Landspítali – háskólasjúkrahús | General and specialised university hospital |
Capital Region | ||
| Akureyri Hospital | Sjúkrahúsið á Akureyri | General and specialised teaching hospital |
Northern |
ตำรวจ (Police)
“ไอซ์แลนด์” มีความปลอดภัยสูงมาก
ไอซ์แลนด์เป็นประเทศที่มีประชากรเบาบางมาก ราวๆ 3 คนต่อ 1 ตารางกิโลเมตร แถมยังเป็นประเทศที่คนที่นี่รวยสุดๆด้วยอีกต่างหาก ด้วยรายได้เฉลี่ยต่อคนต่อปีที่ 42,658.40 USD (ปี 2012) หรือ ราวๆ 113,000 บาท ต่อคนต่อเดือน ทำให้คนที่นี่ ไม่จำเป็นต้องไปปล้นหรือขโมยของใคร ทำให้มีความปลอดภัยสูงมากถึงมากที่สุด จำนวนตำรวจมีน้อยมาก ประมาณ 1,000 คนทั้งประเทศ และเกือบทั้งหมดไม่ได้พกอาวุธ เพราะไม่รู้จะมีเยอะและเอาอาวุธไปทำอะไร จำนวนนักโทษก็มีอยู่หลักร้อยเท่านั้น การเกิดเหตุฆาตกรรมในประเทศนี้คือเรื่องที่ร้ายแรงมากถึงมากที่สุด และไม่มีใครอยากทำหรอก เพราะทำไปก็หนีไปไหนไม่ได้ โดนจับอยู่ดี
เบอร์โทรศัพท์สำคัญ
- Emergency services: police, fire and ambulance. Tel: 112
- Police Station. Tel: 444-1000
- E.R Emergency Room Landspítali Hospital (โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยที่ Reykjavik ). Tel: 543-2000
- For lost or stolen credit cards: Visa Tel: 525-2000
- For lost or stolen credit cards: Master Card Tel:533-1400/550-1500
หากใครสนใจอุปกรณ์การเดินทาง เป้แบคแพค เสื้อแจ็คเก็ตกันลมกันฝน เสื้อขนเป็ด ลองจอน ถุงมือกันหนาว
สามารถเข้าไปเลือกชมสินค้าได้ที่ ร้านของพวกเรา The Puffin House
